การทำความเข้าใจระยะและการดำเนินโรคเบาหวาน: การทบทวนในเชิงวิชาการ
- Varainvis Manoonkulachai
- 28 พ.ค.
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 26 มิ.ย.
โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) เป็นปัญหาทางสุขภาพที่มีความสำคัญระดับโลก โดยมีผู้ป่วยมากกว่า 463 ล้านคนทั่วโลกตามรายงานของ International Diabetes Federation (IDF) (IDF, 2019) ภาวะนี้จัดอยู่ในกลุ่มความผิดปกติของเมตาบอลิซึม ซึ่งมีลักษณะเด่นคือระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างเรื้อรัง อันเกิดจากการบกพร่องของการผลิตอินซูลิน การทำงานของอินซูลิน หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน
การเข้าใจลำดับระยะและพัฒนาการของโรคเบาหวานมีความสำคัญต่อการวางแผนการป้องกันและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งบทความนี้จะกล่าวถึงระยะต่างๆ ของโรคเบาหวาน ผลกระทบในแต่ละระยะ และแนวทางการจัดการสุขภาพในเชิงปฏิบัติ

ชนิดของโรคเบาหวาน และระยะ การดำเนิน โรคเบาหวาน
โรคเบาหวานสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่:
1. เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes Mellitus)
พบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น มีสาเหตุจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อนซึ่งเป็นแหล่งผลิตอินซูลิน ส่งผลให้ร่างกายขาดอินซูลินโดยสมบูรณ์ ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับอินซูลินจากภายนอกตลอดชีวิต (Atkinson et al., 2014)
2. เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes Mellitus)
เป็นชนิดที่พบมากที่สุด คิดเป็นประมาณ 90% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด มักเกิดในผู้ใหญ่ และสัมพันธ์กับภาวะอ้วน การไม่ออกกำลังกาย และพันธุกรรม โดยร่างกายยังสามารถผลิตอินซูลินได้ แต่เซลล์ต่างๆ ตอบสนองต่ออินซูลินลดลง (insulin resistance) (American Diabetes Association, 2023)
ระยะการดำเนินโรคของเบาหวาน
การดำเนินโรคเบาหวานสามารถจำแนกได้เป็น 4 ระยะสำคัญ ซึ่งมีความสำคัญในการวางแผนการป้องกันและรักษา:
1. ระยะก่อนเบาหวาน (Prediabetes)
ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติแต่ยังไม่ถึงเกณฑ์ของเบาหวาน การศึกษาของ Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ระบุว่ามีชาวอเมริกันกว่า 88 ล้านคนอยู่ในภาวะนี้ โดยมากกว่า 80% ไม่ทราบว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยง (CDC, 2023)การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น การรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายสม่ำเสมอ สามารถป้องกันการเปลี่ยนผ่านไปสู่เบาหวานชนิดที่ 2 ได้
2. ระยะเริ่มต้นของเบาหวานชนิดที่ 2
หากไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ภาวะ prediabetes จะพัฒนาไปเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งอาจมีอาการชัดเจนมากขึ้น เช่น กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย และอ่อนเพลีย การศึกษาจาก Diabetes Prevention Program (DPP) พบว่า การลดน้ำหนักราว 7% ของน้ำหนักตัวและการออกกำลังกายสม่ำเสมอสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานได้ถึง 58% (Knowler et al., 2002)
3. ระยะของภาวะแทรกซ้อน
หากควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคไตเสื่อม เส้นประสาทเสื่อม และโรคจอประสาทตาเสื่อม (UKPDS Group, 1998) การควบคุมระดับ HbA1c ให้ต่ำกว่า 7% สามารถลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีนัยสำคัญ
4. ระยะของภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและภาวะฉุกเฉิน
ในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยอาจประสบกับโรคร้ายแรง เช่น หัวใจล้มเหลว ภาวะไตวาย หรือจำเป็นต้องตัดอวัยวะบางส่วน ภาวะฉุกเฉินที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (hyperglycemia) หรือ ต่ำเกินไป (hypoglycemia) อาจเกิดขึ้นได้การดูแลสุขภาพอย่างครอบคลุมร่วมกับแพทย์ การใช้ยา และการติดตามสุขภาพเป็นประจำมีความจำเป็นในระยะนี้
ความสำคัญของการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด
การเฝ้าระวังระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำสามารถช่วยประเมินผลของการรักษาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยให้บุคคลทราบถึงปัจจัยที่มีผลต่อระดับน้ำตาล เช่น อาหาร ความเครียด หรือการออกกำลังกาย
แนวทางการจัดการโรคเบาหวานผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
อาหาร
การเลือกรับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ (low glycemic index) เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด ไขมันดี และโปรตีนคุณภาพสูง สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ การวิจัยพบว่าการบริโภคผักและผลไม้เป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้มากถึง 25% (Li et al., 2014)
การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเป็นประจำมีผลเพิ่มความไวต่ออินซูลิน (insulin sensitivity) และช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำให้มีกิจกรรมระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ขี่จักรยาน หรือเต้นรำ (Colberg et al., 2016)
การสร้างความตระหนักในระดับชุมชน
การให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับโรคเบาหวานมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและลดภาระของโรค โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ และสนับสนุนบทบาทของบุคลากรทางการแพทย์ในการเผยแพร่ความรู้
บทสรุป
การทำความเข้าใจระยะและการดำเนินของโรคเบาหวานช่วยให้บุคคลสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและมีประสิทธิภาพในการดูแลตนเอง การตรวจคัดกรองแต่เนิ่น ๆ การควบคุมระดับน้ำตาล และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเป็นองค์ประกอบสำคัญของการจัดการโรคเบาหวานอย่างยั่งยืน
อ้างอิง (References)
American Diabetes Association. (2023). Standards of Medical Care in Diabetes—2023. Diabetes Care, 46(Supplement_1), S1–S291.
Atkinson, M. A., Eisenbarth, G. S., & Michels, A. W. (2014). Type 1 diabetes. The Lancet, 383(9911), 69–82.
Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023). National Diabetes Statistics Report.
Colberg, S. R., et al. (2016). Exercise and Type 2 Diabetes. Diabetes Care, 39(11), 2065–2079.
International Diabetes Federation. (2019). IDF Diabetes Atlas, 9th ed.
Knowler, W. C., et al. (2002). Reduction in the incidence of Type 2 diabetes with lifestyle intervention or metformin. New England Journal of Medicine, 346(6), 393–403.
Li, M., Fan, Y.,

Varainvis Manoonkulchai
วเรณย์วิศ มนูญกุลชัย
G Viral Digital Marketing Co., Ltd.





ความคิดเห็น